วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

neolife-11

เรื่องเล่า นีโอไลฟ์ ตอน....
                                      “นีโอไลฟ์” เปิดประตูสู่ชีวิตใหม่
“ชีวิตคนเรา เหมือนกับถนนลูกรัง ที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนกันทุกคนเสมอไป บางคนอาจจะเดินไปข้างหน้า โดยปราศจากอุปสรรค แต่บางคนอาจจะต้องพบกับปัญหานานัปการ แต่ใช่ว่าเมื่อเจอปัญหาแล้ว จะหาทางออกไม่เจอ”
ดั่งเธอผู้นี้ “จิราภรณ์ พลเยี่ยม” คนชัยภูมิ ลูกชาวไร่-ชาวนา ที่เป็นมรดกสืบทอดต่อมาจาก พ่อ-แม่ พร้อมกับมรดก “หนี้” ที่ติดสืบทอดตามมาเช่นกัน หลังจากที่ทนกับ “ความจน” ได้ระยะหนึ่งเธอก็ตัดสินใจให้สามีเดินทางไปทำงานที่ประเทศไต้หวันด้วยการกู้ยืมเงินหลักแสนบาทเพื่อใช้ในการเดินทาง เผื่อหวังว่า สักวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ครั้นสามีไปทำงานได้ประมาณ 3 ปี ก็กลับมาพร้อมกับการใช้หนี้หมดไป แต่กลับไม่มีเงินเหลือเก็บสักสตางค์แดงเดียว จึงต้องดิ้นรนไปไต้หวันอีกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งการกลับมาครั้งนี้พ่วงมาด้วยหนี้สินเพิ่มเป็นเงาตามตัว เพราะโดนนายจ้างไต้หวันโกงค่าแรง
บทสรุปเธอหมดหน้าตัก ไม่มีเงินใช้ จนต้องออกไปรับจ้างทำนาบ้าง ตัดอ้อยบ้าง เพื่อแลกกับเม็ดเงินที่เข้ามาหล่อเลี้ยงเพื่อประทังชีวิตไปวัน ๆ ซึ่งไม่ว่าใครจะจ้างให้ทำอะไรที่เป็นตัวเงิน เธอก็ออกไปรับจ้างหมด
ดั่งฟ้าฟาดลงมาอีกครั้ง เมื่อเธอตัดสินใจทำไร่พริก โชคกลับไม่เข้าข้างเมื่อพริกที่ทำเป็นโรคจึงทำให้ต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก ก็ไม่รู้ว่า ชีวิตนี้จะทำอะไรต่อไป หมดหนทาง แต่ “ฟ้า” ก็ไม่เคยดับแสงสำหรับคนที่ “มุ่งมั่น” และ “ขยัน” “ฟ้า” จึงเปิดโอกาสให้เธออีกครั้ง เมื่อมีคนมาชวนทำธุรกิจขายตรงกับ “นีโอไลฟ์” นั่นคือ ประธานฯ”สำราญ เขียวสวาท” แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นอะไรเลยในยามนั้น แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะตัดสินใจเข้าไปศึกษารายละเอียดเพราะโดยส่วนตัว แล้วก็เคยซื้อผลิตภัณฑ์ “นีโอไลฟ์” มาทานอยู่ช่วงหนึ่ง จนสุขภาพดีขึ้นก็เกิดความประทับใจลึก กๆ แต่ในครั้งนั้นยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วมทำธุรกิจด้วย
จิราภรณ์” จึงเข้ามาสู่ธุรกิจ “นีโอไลฟ์” เมื่อปลายปี 2548 พอสิ้นปี 2549 เธอสามารถปลดหนี้ 400,000 บาทได้สำเร็จ นี่ก็เพราะ “นีโอไลฟ์” มีผลิตภัณฑ์ดี แผนการตลาดเยี่ยม รวมถึงท่านประธาน “นพรุจ เวชกุล” ที่คอยให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ๆ ให้มีความเข้าใจ ซึ่งทุกคนไม่จำเป็นต้อง “เก่ง” ไม่จำเป็นต้องมี “ความรู้” ก้สามารถทำได้
และผลพวงจากความมุ่งมั่น จึงทำให้วันนี้ มีบ้าน 2 หลังในราคากว่า 2 ล้านบาท และ 4 ล้านบาท รถยนต์อีก 3 คัน พ่วงด้วยกำไรชีวิตกับการไปเที่ยวต่างประเทศในทุก ๆ หีรับไปเหนาะ ๆ กับรายได้ประจำอีก 300,000 บาท/เดือน พ่วงด้วยตำแหน่ง “รองประธานฝ่ายการตลาด”
มันคือกำไรชีวิต ที่สุดแทนจะบรรยายว่า มันมากด้วยคุณค่าแค่ไหน กับชีวิตของ จิราภรณ์ พลเยี่ยม
จิราภรณ์ พลเยี่ยม
รองประธานฝ่ายการตลาด